วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 6 การใช้โปรแกรม Joomla

Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7 ซึ่งตัว Custom Fields จะช่วยให้เราสามารถจัดการเพิ่มแก้ไขและลบฟิลล์ได้อย่างไม่จำกัด โดยสามารถจัดกลุ่มของฟิลล์ต่างๆได้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเก็บข้อมูลที่ต้องการได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ต้องไปเสียเวลาในการหาส่วนเสริมมาติดตั้งเพิ่มเติม โดยตัว Custom Fields มีประเภทของ Fields ที่จะนำมาสามารถใช้งานได้ถึง 15 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1. Calendar Field ฟิล์ดปฏิทิน สำหรับใส่ข้อมูลวันที่และเวลาซึ่งจะมีไอคอนรูปปฏิทินสามารถคลิกจะแสดงเป็นป๊อปอัพ (Pop-up) ให้ผู้ใช้เลือกได้สะดวกมากขึ้น
2. Checkbox Field ฟิล์ดเช็คบล็อก สำหรับแสดงเช็คบล็อกเป็นลักษณะตัวเลือกที่สามารถเลือกได้หลายตัว
3. Color Field ฟิล์ดสี สำหรับข้อมูลที่เป็นรหัสสีของเว็บไซต์ ซึ่งจะมีป๊อปอัพ (Pop-up) ให้คลิกเลือก ในช่องข้อมูลจะแสดงเป็นรหัสของสี
4. Editor Field ฟิล์ดเอดิเตอร์ สำหรับแสดงช่องใส่ข้อมูลแบบ WYSIWYG (What you see is what you get) สามารถใส่ข้อมูลกำหนดรูปแบบ แทรกลิงก์และอื่นๆ
5. Integer Field ฟิล์ดตัวเลข สำหรับช่องข้อมูลที่ต้องการแสดงเป็นตัวเลขเท่านั้น ซึ่งสามารถกำหนดค่าน้อยที่สุดและมากที่สุด รวมถึงสามารถกำหนดให้เลือกข้อมูลได้มากกว่า 1 ค่าได้
6. List Field ฟิล์ดรายการ สำหรับแสดงรายการข้อมูลหลายๆ ตัว เป็นรูปแบบ Drop Down ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าให้เลือกรายการเดียวหรือหลายๆ รายการ
7. List of Images Field ฟิล์ดรายการรูปภาพ สำหรับแสดงรายชื่อรูปภาพในระบบ สามารถกำหนดโฟลเดอร์ที่ต้องการแสดงได้
8. Media Field ฟิล์ดมีเดีย สำหรับอัพโหลดรูปภาพ และเลือกรูปภาพมาแสดง ซึ่งสามารถกำหนดโฟลเดอร์ที่อัพโหลดและเลือกรูปภาพมาแสดงได้
9. Radio Field ฟิล์ดเรดิโอ สำหรับแสดงตัวเลือกที่สามารถเลือกได้แค่รายการเดียว
10. Sql Field ฟิล์ดเอสคิวแอล สำหรับแสดงรายการข้อมูลแบบ Drop Down ซึ่งข้อมูลจะใช้คำสั่งเอสคิวแอลในการดึงข้อมูลมาแสดง
11. Text Field ฟิล์ดข้อความ สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อความ ตัวเลข หรือทั้งสองอย่าง ที่ไม่ยาวมาก
12. Textarea Field ฟิล์ดกล่องข้อความ สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อความ ตัวเลข หรือทั้งสองอย่าง ที่ข้อมูลค่อนข้างเยอะ
13. Url Field ฟิล์ดลิงก์ สำหรับข้อมูลที่เป็นลิงก์ ไฟล์ หรือที่อยู่เว็บไซต์ สามารถกำหนดรูปแบบของลิงก์ที่ต้องการได้
14. User Field ฟิล์ดข้อมูลผู้ใช้ สำหรับเลือกข้อมูลผู้ใช้ของระบบ โดยคลิกที่ไอคอนจะแสดงป๊อปอัพ (Pop-up) ให้คลิกเลือกผู้ใช้ที่ต้องการ
15. Usergroup Field ฟิล์ดข้อมูลกลุ่มผู้ใช้ สำหรับเลือกข้อมูลกลุ่มผู้ใช้ของระบบ ซึ่งจะแสดงรายการข้อมูลแบบ Drop Down สามารถกำหนดได้ว่าเลือกรายการเดียวหรือหลายรายการ

วิธีการสร้าง Custom Fields ดังนี้


              1. เข้าไปใน Joomla ในฝั่งของผู้ดูแลระบบดังรูป
เข้าหน้า Joomla ในฝั่งของผู้ดูแลระบบ
2.จากนั้นก็ทำการสร้าง Field Groups โดยไปที่ Content > Field Groups ดังรูปCustom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7

  1. Content Field Groups
  2. จากนั้นทำการสร้าง Field Groups โดยไปที่ New ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field Groups
  3. จากนั้นระบุ Field Groups ที่ต้องการจะสร้างดังตัวอย่างในรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field Groups
  4. เมื่อสร้าง Field Groups มาแล้วเราก็ทำการเพิ่ม Field โดยไปที่ Content > Field ดังรูป
    Content Field
  5. จากนั้นทำการสร้าง Field โดยไปที่ “New” ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field
  6. จากนั้นทำการเพิ่ม Field ที่ต้องการได้ดังตัวอย่าง
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เพิ่มข้อมูล Field
  7. จากนั้นสามารถดูผลลัพธ์ได้ในหน้าเขียนบทความ โดยไปที่ Content > Articles > Add New Articles ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    Add New Articles
  8. จากนั้นเลือกแท็บที่เป็นชื่อของ Field Group ที่ได้สร้างไว้ในแท็บด้านบน ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เลือก Field Group ที่สร้างไว้
  9. จากนั้นเราสามารถเพิ่มข้อมูลได้ ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เพิ่มข้อมูลลงใน Fields
  10. จากนั้นสามารถนำข้อมูลที่เพิ่มลงใน Field มาแสดงได้ ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    นำข้อมูลที่เพิ่มลงใน Field มาแสดงได้
  11. หากต้องการที่จะนำ Field ไปใช้ในทุกๆบทความก็สามารถสร้างเทมเพลตให้กับบทความได้โดยสามารถทำให้บทความเป็นรูปแบบเดียวกันโดยสามารถทำได้โดยสร้างไฟล์ HTML มาแล้วเขียนโค้ดแล้วได้ดังตัวอย่าง
    <div class="text-center extension-nemeber">(ระบุ ID ของฟิลที่สร้างไว้ในตัวอย่าง ID จะเป็น 8)</div>
  12. จากนั้นก็เอาไฟล์ที่สร้างไปใส่ในโฟลเดอร์ของ Joomla ที่ได้ติดตั้งไว้โดยเข้าไปตามพาส media/editors/tinymce/templates
  13. จากนั้นก็สามารถเรียกใช้เทมเพลตที่สร้างไว้ได้โดยไปที่ Insert Template ดังรูป โดยจะแสดง popup ขึ้นมาให้เราสามารถเลือกเทมเพลตที่เราได้สร้างไว้ได้
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    Insert Template
  14. จากนั้นไปดูในหน้าเว็บผลลัพธ์ที่ได้ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    ผลลัพธ์ของการนำค่าใน Fields มาแสดง

ในการใช้งาน Custom field ใน Joomla เราสามารถทำเทมเพลตให้กับบทความของเราได้โดยในเทมเพลตเราสามารถตกแต่งให้บทความของเราสวยและน่าอ่านได้เพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอ่านได้เยอะอีกด้วย

บทที่ 5 วัฎจักร การพัฒนาระบบ การจัดการความรู้


แผนภาพวงจรการพัฒนาระบบ

แผนภาพวงจรการพัฒนาระบบ (SDLC)


ทฤษฎีการวิเคราะห์และออกแบบระบบ
        การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็น การศึกษา วิเคราะห์ และแยกแยะถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบ พร้อมทั้งเสนอแนวทางเสนอแนวทางแก้ไขตามความต้องการของผู้ใช้งานและความเหมาะ สมต่อสถานะทางการเงินขององค์กร การออกแบบระบบ (System Design) คือ การสร้างแบบพิมพ์เขียวของระบบใหม่ตามความต้องการในเอกสารความต้องการระบบ กำหนดสิ่งที่จำเป็น เช่น อินพุท เอ้าท์พุท ส่วนต่อประสานผู้ใช้ และการประมวลผล เพื่อประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องแม่นยำ การบำรุงรักษาได้ และความปลอดภัยของระบบ
นอก จากนั้น การออกแบบระบบเป็นวิธีการออกแบบ และกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคโดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาประยุคใช้ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำการวิเคราะห์มาแล้ว
ขั้นตอนการวิเคราะห์และออกแบบระบบออกเป็น ระดับคือ ขั้นต้น และขั้นสูง

1. ขั้นต้น (Basic System Analysis) ประกอบ ขั้นตอนคือ

            1.1 System Requirement เป็นการรับทราบปัญหา หรือความต้องการของผู้ใช้ หรือเจ้าของงานอาจเรียกรวมได้ว่า เป็นขั้นตอนของการเก็บรายละเอียด
            1.2  Context Description เป็นการกำหนดบริบท ประกอบด้วย List of Entities, List of Data และ List of Process
            1.3  Context Diagram เป็นการออกแบบโครงสร้างบริบท โดยอาศัยข้อมูลในขั้นตอนที่ 1.2 นักวิเคราะห์ระบบบางราย มีความถนัดที่จะทำขั้นตอนนี้ก่อนขั้นตอนที่ 1.2 ซึ่งไม่มีผลเสียแต่อย่างไร
            1.4  Process Hierarchy Chart เป็นการเขียนผังการไหลของข้อมูลในระดับต่างๆ ที่ปรากฏตามขั้นตอนที่ 1.3
            1.5  Data Flow Diagram : DFD เป็นการเขียนผังการไหลของข้อมูลในระดับต่างๆ ที่ปรากฏตามขั้นตอนที่ 1.4
            1.6  Process Description เป็นการอธิบายรายละเอียด  Process ให้ชัดเจนขึ้น โดยทั่วไปนิยมอธิบายใน End Process ของแต่ละ Root
            1.7  Data Modeling เป็นขั้นตอนการกำหนด Cardinality เพื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของ Entities ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบ ซึ่งใช้ Data Storage ที่ได้ในขั้นตอน DFD
            1.8  Data Dictionary เป็นขั้นตอนกำหนด Attribute ที่อ้างถึงใน Data Modeling เพื่อกำหนดรายละเอียดที่จะเป็นเบื้องต้นสำหรับใช้ในระบบ

2.  ขั้นสูง (Advance System Analysis) ประกอบ ขั้นตอนคือ

             2.1 Database Design เป็นขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล โดยอาศัยข้อมูลนำเข้าในขั้นที่1.7 และ 1.8 ซึ่งอาจใช้วิธีการ Normalization หรือ Entity Relationship Model แล้วแต่ละกรณี ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องได้ Normal Form (5NF) ขึ้นอยู่กับ นักวิเคราะห์ระบบจะเห็นว่า มีความจำเป็นและเหมาะสามในระดับใด แต่ทั้งนี้ควรไม่ต่ำกว่า Boyce Codd Normal Form (BCNF)
            2.2 Data Table Description เป็นขั้นตอนกำหนดรายละเอียด Attribute ที่มีในแต่ละ Table โดยอาศัยข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1.8 และ 2.1
            2.3 Output Design หรือ การออกแบบส่วนแสดงผล แยกออกเป็น รายงาน เอกสาร และข้อความ มีพฤติกรรม ชนิด
                  2.3.1  แสดงผลจากฐานข้อมูลโดยตรง (Data to Output : D2O)
                  2.3.2  แสดงผลจากการประมวลผลที่ได้รับจากการข้อมูลนำเข้า
(Data-Process to Output: DP2O)
                  2.3.3  แสดงผลโดยตรงจากข้อมูลนำเข้า (Input to Output : I2O)
โดยสามารถแสดงผลได้ทั้งกระดาษ และจอภาพ การออกแบบ Output Design ควรกระทำก่อนการออกแบบอื่นๆ ทั้งหมด เพราะจะช่วยตรวจสอบว่า มี Attribute ที่ออกแบบไว้ในขั้น 2.2 ครบถ้วนหรือไม่
           2.4 Input Design หรือ การออกแบบส่วนนำข้อมูลเข้า วัตถุประสงค์เป็นการออกแบบเพื่อนำข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ จึงถูกออกแบบให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการแสดงผลทางจอภาพ คือ 25 บรรทัด 80 คอลัมน์ แม้ว่าบางครั้งจะถูกออกแบบเป็นแบบบันทึกข้อมูลล่วงหน้า ก่อนนำมาบันทึกผ่านจอภาพ ก็ยังอ้างอิงกับตำแหน่งทางจอภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของผู้ใช้ แบ่งออกเป็น พฤติกรรมคือ
                 2.4.1 ออกแบบฟอร์มเอกสารกรอกข้อมูล
                 2.4.2 ออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ ซึ่งมี ชนิด คือ ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ด้วยเมนู ด้วยคำสั่ง และด้วยกราฟิก
         วงจรการพัฒนาระบบ


วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) คือ กระบวนการทาง
ความคิด (Logical Process)
 ใน การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ ใช้ได้ โดยระบบที่จะพัฒนานั้น อาจเริ่มด้วยการพัฒนาระบบใหม่เลยหรือนำระบบเดิมที่มีอยู่แล้วมาปรับเปลี่ยน ให้ดียิ่งขึ้น ภายในวงจรนี้จะแบ่งกระบวนการพัฒนาออกเป็นระยะ (Phases) ได้แก่ ระยะการวางแผน (Planning Phase) ระยะการวิเคราะห์ (Analysis Phase) ระยะการออกแบบ (Design Phase) และระยะการสร้างและพัฒนา (Implementation Phase) โดยแต่ละระยะจะประกอบไปด้วยขั้นตอน (Steps) ต่างๆ แตกต่างกันไปตาม Methodology ที่นักวิเคราะห์นำมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและความพร้อมขององค์กรในขณะนั้น
ขั้น ตอนในวงจรพัฒนาระบบ ช่วยให้นักวิเคราะห์ระบบสามารถดำเนินการได้อย่างมีแนวทางและเป็นขั้นตอน ทำให้สามารถควบคุมระยะเวลาและงบประมาณในการปฏิบัติงานของโครงการพัฒนาระบบ ได้ ขั้นตอนต่างๆ นั้นมีลักษณะคล้ายกับการตัดสินใจแก้ปัญหาตามแนวทางวิทยาศาสตร์(Scientific Management) อัน ได้แก่ การค้นหาปัญหา การค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหา การประเมินผลแนวทางแก้ไขปัญหาที่ค้นพบ เลือกแนวทางที่ดีที่สุด และพัฒนาทางเลือกนั้นให้ใช้งานได้ สำหรับวงจรการพัฒนาระบบในหนังสือเล่มนี้ จะแบ่งเป็น ขั้นตอน ได้แก่
     1.  ค้นหาและเลือกสรรโครงการ (Project Identification and Selection)
     2.  จัดตั้งและวางแผนโครงการ (Project Initiating and Planning)
     3.  วิเคราะห์ระบบ (Analysis)
     4.  ออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design)
     5.  ออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design)
     6.  พัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implement)
     7.  ซ่อมบำรุงระบบ (System Maintenance)

1.    การค้นหาและเลือกสรรโครงการ (Project Identification and Selection) เป็น

ขั้น ตอน ในการค้นหาโครงการพัฒนาระบบ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัท สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และให้ผลประโยชน์กับบริษัทมากที่สุด โดยใช้ตารางเมตริกซ์ (Matrix Table) เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ดำเนินการผ่านไปแล้วในเบื้องต้น สามารถสรุปกิจกรรมได้ดังนี้
          1. ค้นหาโครงการพัฒนาระบบที่เห็นสมควรต่อการได้รับการพัฒนา
          2. จำแนกและจัดกลุ่มโครงการ
          3. เลือกโครงการที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนา

2. การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (Project Initiating and Planning System 

Development) เป็น ขั้นตอนในการเริ่มต้นจัดทำโครงการด้วยการจัดตั้งทีมงาน กำหนดตำแหน่งหน้าที่ให้กับทีมงานแต่ละคนอย่างชัดเจน เพื่อร่วมกันสร้างแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งาน และเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด จากนั้นจะร่วมกันวางแผนจัดทำโครงการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และประมาณการต้นทุน และกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบ เพื่อนำเสนอต่อผู้จัดการ เพื่อพิจารณาอนุมัติดำเนินการในขั้นตอนต่อไป โดยในขณะที่นำเสนอ โครงการอยู่นี้ถือเป็นการดำเนินงานในขั้นตอนที่ ซึ่งใช้เทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงด้วยการสัมภาษณ์ (Interviewing) การออกแบบสอบถาม (Questionnaires) รวมทั้งพิจารณาจากเอกสารการทำงาน รายงานและแบบฟอร์มต่าง ๆ ของบริษัทประกอบด้วย สรุปกิจกรรมขั้นตอนที่ ได้ดังนี้ 
           1. เริ่มต้นโครงการ
           2. เสนอแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งาน
           3. วางแผนโครงการ

3. การวิเคราะห์ (System Analysis)เป็นขั้นตอนในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงขั้นตอน

การดำเนินงานของระบบเดิม ซึ่งการที่จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนนี้ ได้จะต้องผ่านการอนุมัติในขั้นตอนที่ ใน การนำเสนอโครงการหลังจากนั้นจะรวบรวมความต้องการในระบบใหม่ จากผู้ใช้ระบบแล้วนำมาศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการเหล่านั้นด้วย การใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ได้แก่ แบบจำลองขั้นตอนการทำงานของระบบ (Process Modeling) โดยใช้แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram: DFD) และแบบจำลองข้อมูล (Data Modeling) โดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูล (Entity Relationship Diagram: E-R Diagram) สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
            1. ศึกษาขั้นตอนการทำงานของระบบเดิม
            2. รวบรวมความต้องการในระบบใหม่จากผู้ใช้ระบบ
            3. จำลองแบบความต้องการที่รวบรวมได้

4. การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design) เป็นขั้นตอนในการออกแบบลักษณะการ

ทำ งานของระบบตามทางเลือกที่ได้จากเลือกไว้จากขั้นตอน การวิเคราะห์ระบบโดยการออกแบบในเชิงตรรกะนี้ยังไม่ได้มีการระบุถึงคุณลักษณะ ของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เพียงแต่กำหนดถึงลักษณะของรูปแบบรายงานที่เกิดจากการทำงานของระบบ ลักษณะของการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ และผลลัพธ์ที่ได้จากระบบ ซึ่งจะเลือกใช้การนำเสนอรูปแบบของรายงาน และลักษณะของจอภาพของระบบจะทำให้สามารถเข้าใจขั้นตอนการทำงานของระบบได้ ชัดเจนขึ้น สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
           1. ออกแบบแบบฟอร์มและรายงาน (Form/Report Design)
           2. ออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interfaces Design)
           3. ออกแบบฐานข้อมูลในระดับ Logical

5. การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) เป็นขั้นตอนที่ระบุถึงลักษณะการทำงาน

ของ ระบบทางกายภาพหรือทางเทคนิค โดยระบุถึงคุณลักษณะของ อุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เทคโนโลยีโปรแกรมภาษาที่จะนำมาทำการเขียนโปรแกรม ฐานข้อมูลของการออกแบบเครือข่ายที่เหมาะสมกับระบบ สิ่งที่ได้จากขั้นตอนการออกแบบทางกายภาพนี้จะเป็นข้อมูลของการออกแบบ เพื่อส่งมอบให้กับโปรแกรมเมอร์เพื่อ ใช้เขียนโปรแกรมตามลักษณะการทำงานของระบบที่ได้ออกแบบและกำหนดไว้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
            1. ออกแบบฐานข้อมูลในระดับ Physical
             2. ออกแบบ Application

6. การพัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implementation) เป็นขั้นตอนในการนำข้อมูล

เฉพาะ ของการออกแบบมาทำการเขียนโปรแกรมเพื่อให้เป็นไปตามคุณลักษณะและรูปแบบ ต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้ หลังจากเขียนโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการทดสอบโปรแกรม ตรวจสอบหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมา และสุดท้ายคือการติดตั้งระบบ โดยทำการติดตั้งตัวโปรแกรม ติดตั้งอุปกรณ์ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือและจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบใหม่สามารถใช้งานได้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
           1. เขียนโปรแกรม (Coding)
           2. ทดสอบโปรแกรม (Testing)
           3. ติดตั้งระบบ (Installation)
           4. จัดทำเอกสาร (Documentation)
            5. จัดทำหลักสูตรฝึกอบรม (Training)
            6. การบริการให้ความช่วยเหลือหลังการติดตั้งระบบ (Support)

7. การซ่อมบำรุงระบบ (System Maintenance) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวงจรพัฒนา

ระบบ (SDLC) หลัง จากระบบใหม่ได้เริ่มดำเนินการ ผู้ใช้ระบบจะพบกับ ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับระบบใหม่ และค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้เองได้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
          1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
          2. วิเคราะห์ข้อมูลร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
          3. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง
          4. ปรับปรุง

บทที่ 6 การใช้โปรแกรม Joomla

Custom Fields  เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ   Joomla   ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7 ซึ่งตัว   Custom Fields   จะช่วยให้เราสามารถจัดการเพิ่ม...