วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 6 การใช้โปรแกรม Joomla

Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7 ซึ่งตัว Custom Fields จะช่วยให้เราสามารถจัดการเพิ่มแก้ไขและลบฟิลล์ได้อย่างไม่จำกัด โดยสามารถจัดกลุ่มของฟิลล์ต่างๆได้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเก็บข้อมูลที่ต้องการได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ต้องไปเสียเวลาในการหาส่วนเสริมมาติดตั้งเพิ่มเติม โดยตัว Custom Fields มีประเภทของ Fields ที่จะนำมาสามารถใช้งานได้ถึง 15 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1. Calendar Field ฟิล์ดปฏิทิน สำหรับใส่ข้อมูลวันที่และเวลาซึ่งจะมีไอคอนรูปปฏิทินสามารถคลิกจะแสดงเป็นป๊อปอัพ (Pop-up) ให้ผู้ใช้เลือกได้สะดวกมากขึ้น
2. Checkbox Field ฟิล์ดเช็คบล็อก สำหรับแสดงเช็คบล็อกเป็นลักษณะตัวเลือกที่สามารถเลือกได้หลายตัว
3. Color Field ฟิล์ดสี สำหรับข้อมูลที่เป็นรหัสสีของเว็บไซต์ ซึ่งจะมีป๊อปอัพ (Pop-up) ให้คลิกเลือก ในช่องข้อมูลจะแสดงเป็นรหัสของสี
4. Editor Field ฟิล์ดเอดิเตอร์ สำหรับแสดงช่องใส่ข้อมูลแบบ WYSIWYG (What you see is what you get) สามารถใส่ข้อมูลกำหนดรูปแบบ แทรกลิงก์และอื่นๆ
5. Integer Field ฟิล์ดตัวเลข สำหรับช่องข้อมูลที่ต้องการแสดงเป็นตัวเลขเท่านั้น ซึ่งสามารถกำหนดค่าน้อยที่สุดและมากที่สุด รวมถึงสามารถกำหนดให้เลือกข้อมูลได้มากกว่า 1 ค่าได้
6. List Field ฟิล์ดรายการ สำหรับแสดงรายการข้อมูลหลายๆ ตัว เป็นรูปแบบ Drop Down ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าให้เลือกรายการเดียวหรือหลายๆ รายการ
7. List of Images Field ฟิล์ดรายการรูปภาพ สำหรับแสดงรายชื่อรูปภาพในระบบ สามารถกำหนดโฟลเดอร์ที่ต้องการแสดงได้
8. Media Field ฟิล์ดมีเดีย สำหรับอัพโหลดรูปภาพ และเลือกรูปภาพมาแสดง ซึ่งสามารถกำหนดโฟลเดอร์ที่อัพโหลดและเลือกรูปภาพมาแสดงได้
9. Radio Field ฟิล์ดเรดิโอ สำหรับแสดงตัวเลือกที่สามารถเลือกได้แค่รายการเดียว
10. Sql Field ฟิล์ดเอสคิวแอล สำหรับแสดงรายการข้อมูลแบบ Drop Down ซึ่งข้อมูลจะใช้คำสั่งเอสคิวแอลในการดึงข้อมูลมาแสดง
11. Text Field ฟิล์ดข้อความ สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อความ ตัวเลข หรือทั้งสองอย่าง ที่ไม่ยาวมาก
12. Textarea Field ฟิล์ดกล่องข้อความ สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อความ ตัวเลข หรือทั้งสองอย่าง ที่ข้อมูลค่อนข้างเยอะ
13. Url Field ฟิล์ดลิงก์ สำหรับข้อมูลที่เป็นลิงก์ ไฟล์ หรือที่อยู่เว็บไซต์ สามารถกำหนดรูปแบบของลิงก์ที่ต้องการได้
14. User Field ฟิล์ดข้อมูลผู้ใช้ สำหรับเลือกข้อมูลผู้ใช้ของระบบ โดยคลิกที่ไอคอนจะแสดงป๊อปอัพ (Pop-up) ให้คลิกเลือกผู้ใช้ที่ต้องการ
15. Usergroup Field ฟิล์ดข้อมูลกลุ่มผู้ใช้ สำหรับเลือกข้อมูลกลุ่มผู้ใช้ของระบบ ซึ่งจะแสดงรายการข้อมูลแบบ Drop Down สามารถกำหนดได้ว่าเลือกรายการเดียวหรือหลายรายการ

วิธีการสร้าง Custom Fields ดังนี้


              1. เข้าไปใน Joomla ในฝั่งของผู้ดูแลระบบดังรูป
เข้าหน้า Joomla ในฝั่งของผู้ดูแลระบบ
2.จากนั้นก็ทำการสร้าง Field Groups โดยไปที่ Content > Field Groups ดังรูปCustom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7

  1. Content Field Groups
  2. จากนั้นทำการสร้าง Field Groups โดยไปที่ New ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field Groups
  3. จากนั้นระบุ Field Groups ที่ต้องการจะสร้างดังตัวอย่างในรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field Groups
  4. เมื่อสร้าง Field Groups มาแล้วเราก็ทำการเพิ่ม Field โดยไปที่ Content > Field ดังรูป
    Content Field
  5. จากนั้นทำการสร้าง Field โดยไปที่ “New” ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    สร้าง Field
  6. จากนั้นทำการเพิ่ม Field ที่ต้องการได้ดังตัวอย่าง
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เพิ่มข้อมูล Field
  7. จากนั้นสามารถดูผลลัพธ์ได้ในหน้าเขียนบทความ โดยไปที่ Content > Articles > Add New Articles ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    Add New Articles
  8. จากนั้นเลือกแท็บที่เป็นชื่อของ Field Group ที่ได้สร้างไว้ในแท็บด้านบน ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เลือก Field Group ที่สร้างไว้
  9. จากนั้นเราสามารถเพิ่มข้อมูลได้ ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    เพิ่มข้อมูลลงใน Fields
  10. จากนั้นสามารถนำข้อมูลที่เพิ่มลงใน Field มาแสดงได้ ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    นำข้อมูลที่เพิ่มลงใน Field มาแสดงได้
  11. หากต้องการที่จะนำ Field ไปใช้ในทุกๆบทความก็สามารถสร้างเทมเพลตให้กับบทความได้โดยสามารถทำให้บทความเป็นรูปแบบเดียวกันโดยสามารถทำได้โดยสร้างไฟล์ HTML มาแล้วเขียนโค้ดแล้วได้ดังตัวอย่าง
    <div class="text-center extension-nemeber">(ระบุ ID ของฟิลที่สร้างไว้ในตัวอย่าง ID จะเป็น 8)</div>
  12. จากนั้นก็เอาไฟล์ที่สร้างไปใส่ในโฟลเดอร์ของ Joomla ที่ได้ติดตั้งไว้โดยเข้าไปตามพาส media/editors/tinymce/templates
  13. จากนั้นก็สามารถเรียกใช้เทมเพลตที่สร้างไว้ได้โดยไปที่ Insert Template ดังรูป โดยจะแสดง popup ขึ้นมาให้เราสามารถเลือกเทมเพลตที่เราได้สร้างไว้ได้
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    Insert Template
  14. จากนั้นไปดูในหน้าเว็บผลลัพธ์ที่ได้ดังรูป
    Custom Fields เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ Joomla ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7
    ผลลัพธ์ของการนำค่าใน Fields มาแสดง

ในการใช้งาน Custom field ใน Joomla เราสามารถทำเทมเพลตให้กับบทความของเราได้โดยในเทมเพลตเราสามารถตกแต่งให้บทความของเราสวยและน่าอ่านได้เพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอ่านได้เยอะอีกด้วย

บทที่ 5 วัฎจักร การพัฒนาระบบ การจัดการความรู้


แผนภาพวงจรการพัฒนาระบบ

แผนภาพวงจรการพัฒนาระบบ (SDLC)


ทฤษฎีการวิเคราะห์และออกแบบระบบ
        การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็น การศึกษา วิเคราะห์ และแยกแยะถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบ พร้อมทั้งเสนอแนวทางเสนอแนวทางแก้ไขตามความต้องการของผู้ใช้งานและความเหมาะ สมต่อสถานะทางการเงินขององค์กร การออกแบบระบบ (System Design) คือ การสร้างแบบพิมพ์เขียวของระบบใหม่ตามความต้องการในเอกสารความต้องการระบบ กำหนดสิ่งที่จำเป็น เช่น อินพุท เอ้าท์พุท ส่วนต่อประสานผู้ใช้ และการประมวลผล เพื่อประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องแม่นยำ การบำรุงรักษาได้ และความปลอดภัยของระบบ
นอก จากนั้น การออกแบบระบบเป็นวิธีการออกแบบ และกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคโดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาประยุคใช้ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำการวิเคราะห์มาแล้ว
ขั้นตอนการวิเคราะห์และออกแบบระบบออกเป็น ระดับคือ ขั้นต้น และขั้นสูง

1. ขั้นต้น (Basic System Analysis) ประกอบ ขั้นตอนคือ

            1.1 System Requirement เป็นการรับทราบปัญหา หรือความต้องการของผู้ใช้ หรือเจ้าของงานอาจเรียกรวมได้ว่า เป็นขั้นตอนของการเก็บรายละเอียด
            1.2  Context Description เป็นการกำหนดบริบท ประกอบด้วย List of Entities, List of Data และ List of Process
            1.3  Context Diagram เป็นการออกแบบโครงสร้างบริบท โดยอาศัยข้อมูลในขั้นตอนที่ 1.2 นักวิเคราะห์ระบบบางราย มีความถนัดที่จะทำขั้นตอนนี้ก่อนขั้นตอนที่ 1.2 ซึ่งไม่มีผลเสียแต่อย่างไร
            1.4  Process Hierarchy Chart เป็นการเขียนผังการไหลของข้อมูลในระดับต่างๆ ที่ปรากฏตามขั้นตอนที่ 1.3
            1.5  Data Flow Diagram : DFD เป็นการเขียนผังการไหลของข้อมูลในระดับต่างๆ ที่ปรากฏตามขั้นตอนที่ 1.4
            1.6  Process Description เป็นการอธิบายรายละเอียด  Process ให้ชัดเจนขึ้น โดยทั่วไปนิยมอธิบายใน End Process ของแต่ละ Root
            1.7  Data Modeling เป็นขั้นตอนการกำหนด Cardinality เพื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของ Entities ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบ ซึ่งใช้ Data Storage ที่ได้ในขั้นตอน DFD
            1.8  Data Dictionary เป็นขั้นตอนกำหนด Attribute ที่อ้างถึงใน Data Modeling เพื่อกำหนดรายละเอียดที่จะเป็นเบื้องต้นสำหรับใช้ในระบบ

2.  ขั้นสูง (Advance System Analysis) ประกอบ ขั้นตอนคือ

             2.1 Database Design เป็นขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล โดยอาศัยข้อมูลนำเข้าในขั้นที่1.7 และ 1.8 ซึ่งอาจใช้วิธีการ Normalization หรือ Entity Relationship Model แล้วแต่ละกรณี ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องได้ Normal Form (5NF) ขึ้นอยู่กับ นักวิเคราะห์ระบบจะเห็นว่า มีความจำเป็นและเหมาะสามในระดับใด แต่ทั้งนี้ควรไม่ต่ำกว่า Boyce Codd Normal Form (BCNF)
            2.2 Data Table Description เป็นขั้นตอนกำหนดรายละเอียด Attribute ที่มีในแต่ละ Table โดยอาศัยข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1.8 และ 2.1
            2.3 Output Design หรือ การออกแบบส่วนแสดงผล แยกออกเป็น รายงาน เอกสาร และข้อความ มีพฤติกรรม ชนิด
                  2.3.1  แสดงผลจากฐานข้อมูลโดยตรง (Data to Output : D2O)
                  2.3.2  แสดงผลจากการประมวลผลที่ได้รับจากการข้อมูลนำเข้า
(Data-Process to Output: DP2O)
                  2.3.3  แสดงผลโดยตรงจากข้อมูลนำเข้า (Input to Output : I2O)
โดยสามารถแสดงผลได้ทั้งกระดาษ และจอภาพ การออกแบบ Output Design ควรกระทำก่อนการออกแบบอื่นๆ ทั้งหมด เพราะจะช่วยตรวจสอบว่า มี Attribute ที่ออกแบบไว้ในขั้น 2.2 ครบถ้วนหรือไม่
           2.4 Input Design หรือ การออกแบบส่วนนำข้อมูลเข้า วัตถุประสงค์เป็นการออกแบบเพื่อนำข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ จึงถูกออกแบบให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการแสดงผลทางจอภาพ คือ 25 บรรทัด 80 คอลัมน์ แม้ว่าบางครั้งจะถูกออกแบบเป็นแบบบันทึกข้อมูลล่วงหน้า ก่อนนำมาบันทึกผ่านจอภาพ ก็ยังอ้างอิงกับตำแหน่งทางจอภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของผู้ใช้ แบ่งออกเป็น พฤติกรรมคือ
                 2.4.1 ออกแบบฟอร์มเอกสารกรอกข้อมูล
                 2.4.2 ออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ ซึ่งมี ชนิด คือ ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ด้วยเมนู ด้วยคำสั่ง และด้วยกราฟิก
         วงจรการพัฒนาระบบ


วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) คือ กระบวนการทาง
ความคิด (Logical Process)
 ใน การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ ใช้ได้ โดยระบบที่จะพัฒนานั้น อาจเริ่มด้วยการพัฒนาระบบใหม่เลยหรือนำระบบเดิมที่มีอยู่แล้วมาปรับเปลี่ยน ให้ดียิ่งขึ้น ภายในวงจรนี้จะแบ่งกระบวนการพัฒนาออกเป็นระยะ (Phases) ได้แก่ ระยะการวางแผน (Planning Phase) ระยะการวิเคราะห์ (Analysis Phase) ระยะการออกแบบ (Design Phase) และระยะการสร้างและพัฒนา (Implementation Phase) โดยแต่ละระยะจะประกอบไปด้วยขั้นตอน (Steps) ต่างๆ แตกต่างกันไปตาม Methodology ที่นักวิเคราะห์นำมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและความพร้อมขององค์กรในขณะนั้น
ขั้น ตอนในวงจรพัฒนาระบบ ช่วยให้นักวิเคราะห์ระบบสามารถดำเนินการได้อย่างมีแนวทางและเป็นขั้นตอน ทำให้สามารถควบคุมระยะเวลาและงบประมาณในการปฏิบัติงานของโครงการพัฒนาระบบ ได้ ขั้นตอนต่างๆ นั้นมีลักษณะคล้ายกับการตัดสินใจแก้ปัญหาตามแนวทางวิทยาศาสตร์(Scientific Management) อัน ได้แก่ การค้นหาปัญหา การค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหา การประเมินผลแนวทางแก้ไขปัญหาที่ค้นพบ เลือกแนวทางที่ดีที่สุด และพัฒนาทางเลือกนั้นให้ใช้งานได้ สำหรับวงจรการพัฒนาระบบในหนังสือเล่มนี้ จะแบ่งเป็น ขั้นตอน ได้แก่
     1.  ค้นหาและเลือกสรรโครงการ (Project Identification and Selection)
     2.  จัดตั้งและวางแผนโครงการ (Project Initiating and Planning)
     3.  วิเคราะห์ระบบ (Analysis)
     4.  ออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design)
     5.  ออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design)
     6.  พัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implement)
     7.  ซ่อมบำรุงระบบ (System Maintenance)

1.    การค้นหาและเลือกสรรโครงการ (Project Identification and Selection) เป็น

ขั้น ตอน ในการค้นหาโครงการพัฒนาระบบ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัท สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และให้ผลประโยชน์กับบริษัทมากที่สุด โดยใช้ตารางเมตริกซ์ (Matrix Table) เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ดำเนินการผ่านไปแล้วในเบื้องต้น สามารถสรุปกิจกรรมได้ดังนี้
          1. ค้นหาโครงการพัฒนาระบบที่เห็นสมควรต่อการได้รับการพัฒนา
          2. จำแนกและจัดกลุ่มโครงการ
          3. เลือกโครงการที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนา

2. การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (Project Initiating and Planning System 

Development) เป็น ขั้นตอนในการเริ่มต้นจัดทำโครงการด้วยการจัดตั้งทีมงาน กำหนดตำแหน่งหน้าที่ให้กับทีมงานแต่ละคนอย่างชัดเจน เพื่อร่วมกันสร้างแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งาน และเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด จากนั้นจะร่วมกันวางแผนจัดทำโครงการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และประมาณการต้นทุน และกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบ เพื่อนำเสนอต่อผู้จัดการ เพื่อพิจารณาอนุมัติดำเนินการในขั้นตอนต่อไป โดยในขณะที่นำเสนอ โครงการอยู่นี้ถือเป็นการดำเนินงานในขั้นตอนที่ ซึ่งใช้เทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงด้วยการสัมภาษณ์ (Interviewing) การออกแบบสอบถาม (Questionnaires) รวมทั้งพิจารณาจากเอกสารการทำงาน รายงานและแบบฟอร์มต่าง ๆ ของบริษัทประกอบด้วย สรุปกิจกรรมขั้นตอนที่ ได้ดังนี้ 
           1. เริ่มต้นโครงการ
           2. เสนอแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งาน
           3. วางแผนโครงการ

3. การวิเคราะห์ (System Analysis)เป็นขั้นตอนในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงขั้นตอน

การดำเนินงานของระบบเดิม ซึ่งการที่จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนนี้ ได้จะต้องผ่านการอนุมัติในขั้นตอนที่ ใน การนำเสนอโครงการหลังจากนั้นจะรวบรวมความต้องการในระบบใหม่ จากผู้ใช้ระบบแล้วนำมาศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการเหล่านั้นด้วย การใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ได้แก่ แบบจำลองขั้นตอนการทำงานของระบบ (Process Modeling) โดยใช้แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram: DFD) และแบบจำลองข้อมูล (Data Modeling) โดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูล (Entity Relationship Diagram: E-R Diagram) สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
            1. ศึกษาขั้นตอนการทำงานของระบบเดิม
            2. รวบรวมความต้องการในระบบใหม่จากผู้ใช้ระบบ
            3. จำลองแบบความต้องการที่รวบรวมได้

4. การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design) เป็นขั้นตอนในการออกแบบลักษณะการ

ทำ งานของระบบตามทางเลือกที่ได้จากเลือกไว้จากขั้นตอน การวิเคราะห์ระบบโดยการออกแบบในเชิงตรรกะนี้ยังไม่ได้มีการระบุถึงคุณลักษณะ ของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เพียงแต่กำหนดถึงลักษณะของรูปแบบรายงานที่เกิดจากการทำงานของระบบ ลักษณะของการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ และผลลัพธ์ที่ได้จากระบบ ซึ่งจะเลือกใช้การนำเสนอรูปแบบของรายงาน และลักษณะของจอภาพของระบบจะทำให้สามารถเข้าใจขั้นตอนการทำงานของระบบได้ ชัดเจนขึ้น สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
           1. ออกแบบแบบฟอร์มและรายงาน (Form/Report Design)
           2. ออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interfaces Design)
           3. ออกแบบฐานข้อมูลในระดับ Logical

5. การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) เป็นขั้นตอนที่ระบุถึงลักษณะการทำงาน

ของ ระบบทางกายภาพหรือทางเทคนิค โดยระบุถึงคุณลักษณะของ อุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เทคโนโลยีโปรแกรมภาษาที่จะนำมาทำการเขียนโปรแกรม ฐานข้อมูลของการออกแบบเครือข่ายที่เหมาะสมกับระบบ สิ่งที่ได้จากขั้นตอนการออกแบบทางกายภาพนี้จะเป็นข้อมูลของการออกแบบ เพื่อส่งมอบให้กับโปรแกรมเมอร์เพื่อ ใช้เขียนโปรแกรมตามลักษณะการทำงานของระบบที่ได้ออกแบบและกำหนดไว้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
            1. ออกแบบฐานข้อมูลในระดับ Physical
             2. ออกแบบ Application

6. การพัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implementation) เป็นขั้นตอนในการนำข้อมูล

เฉพาะ ของการออกแบบมาทำการเขียนโปรแกรมเพื่อให้เป็นไปตามคุณลักษณะและรูปแบบ ต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้ หลังจากเขียนโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการทดสอบโปรแกรม ตรวจสอบหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมา และสุดท้ายคือการติดตั้งระบบ โดยทำการติดตั้งตัวโปรแกรม ติดตั้งอุปกรณ์ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือและจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบใหม่สามารถใช้งานได้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
           1. เขียนโปรแกรม (Coding)
           2. ทดสอบโปรแกรม (Testing)
           3. ติดตั้งระบบ (Installation)
           4. จัดทำเอกสาร (Documentation)
            5. จัดทำหลักสูตรฝึกอบรม (Training)
            6. การบริการให้ความช่วยเหลือหลังการติดตั้งระบบ (Support)

7. การซ่อมบำรุงระบบ (System Maintenance) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวงจรพัฒนา

ระบบ (SDLC) หลัง จากระบบใหม่ได้เริ่มดำเนินการ ผู้ใช้ระบบจะพบกับ ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับระบบใหม่ และค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้เองได้ สรุปกิจกรรมในขั้นตอนที่ ได้ดังนี้
          1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
          2. วิเคราะห์ข้อมูลร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
          3. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง
          4. ปรับปรุง

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562

บทที่๔ องค์การแห่งการเรียนรู้

ทฤษฎีการจัดการความรู้ของปีเตอร์เซงเก้ 

     Peter Senge’sได้เสนอแนวความคิดของการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ ที่เรียกว่า 
The five disciplines (วินัย 5 ประการ) ซึ่งเป็นแนวทางสําคัญ 5 ประการที่จะผลักดันและสนับสนุนให้เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้
ทฤษฎีการจัดการความรู้ของปีเตอร์เซงเก้ (Peter M. Senge’s)

     จะมุ่งเน้นไปที่คน เพราะPeter Senge’s มีความคิดว่าการพัฒนาองค์กรแห่งการ เรียนรู้จะต้องเริ่มการพัฒนาคนก่อน KM  >  LO >  IO 





  • องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO)คือองค์กรที่ เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา  เรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร  เรียนรู้ในกิจกรรมทุกอย่าง  เป็นองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  มีความเป็นพลวัตอยู่ ตลอดเวลา
  • สภาพเช่นนั้น เป็นสภาพที่สมาชิกขององค์กรรวมตัวกันเรียนรู้จาก การปฏิบัติงานประจํา   เรียนรู้จากการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง (CQI Continuous Quality Improvement)





องค์ประกอบที่สําคัญ ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจของการเป็น 
“องค์กรแห่งการ เรียนรู้” คือ “วินัย 5 ประการ”  ประกอบด้วย 
  1. ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษของบุคคล(Personal Mastery) 
  2. แบบแผนทางจิตใจที่มองโลกตามความเป็นจริง(Mental Model) 
  3. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน(Shared Vision) 
  4. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม(Team Learning) 
  5. การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) 
  6. ทําอย่างต่อเนื่อง จนเกิดทักษะทั้ง 5 ของ LO
ทําอย่างต่อเนื่อง จนเกิดทักษะทั้ง 5 ของ LO

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

บทที่๓ การจัดการความรู้

5. KM-Process  : กพร.





     การจัดการความรู้ (กพร.) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ใน องค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็น ระบบ  เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้  และพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้รู้  รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     สามารถแบ่งกระบวนการจัดการความรู้ได้ 7 กระบวนการ 

  1. การบ่งชี้ความรู้  ค้นหาว่ามีความรู้อะไรบ้างอยู่ในองค์กร  แล้ว พิจารณาว่าความรู้นั้นเป็นรูปแบบใด อยู่ที่ใครหรือความรู้อะไรบ้างที่ องค์กรจําเป็นต้องมี จัดลําดับความสําคัญของความรู้เหล่านั้น 
  2. การสร้างและแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ใหม่  แสวงหา ความรู้จากภายนอก  รักษาความรู้เก่า กําจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว 
  3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เพื่อให้การเก็บรวบรวม การค้นหา การนําไปใช้ทําได้ง่ายและรวดเร็ว   และนําความรู้ดังกล่าวไปใช้ ประโยชน์  
  4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้  เป็นการประมวลความรู้ให้ อยู่ในรูปแบบและภาษาที่เข้าใจง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน 
  5. การเข้าถึงความรู้  เป็นการทําให้ผู้ใช้ความรู้ เข้าถึงความรู้ที่ ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT), Web board ,บอร์ดประชาสัมพันธ์ 
  6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้  Explicit Knowledge เอกสาร, ฐานความรู้, เทคโนโลยีสารสนเทศ Tacit Knowledge  ระบบทีมข้ามสายงาน  กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและ นวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้  ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน  การยืมตัว  เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น 
  7. การเรียนรู้ บุคลากรเกิดการเรียนรู้ ซึ่งอาจสังเกตได้จากความสามารถ ในการทํางานดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถแก้ปัญหาในการ ทํางานที่ดีขึ้น  มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  และนําไปสู่การทําให้องค์กรมีการ บริหารที่มีประสิทธิภาพสูงในที่สุด

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทที่๑ แนวคิดเกี่ยวกับความรู้

1.อิคูจิโร  โนนากะ 

     ความรู้หมายถึง  อิคูชิโร โนนากะ และ ไมเคิล โพลานยี(บุญดี บุญญากิจ และคนอื่นๆ ๒๕๔๙ : ๑๖)
ได้จำแนกความรู้ออกเป็น ๒ ประเภทคือ

     ๑. ความรู้แบบซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน เกิดจาก
ประสบการณ์ การเรียนรู้ หรือพรสวรรค์ต่างๆ อธิบายออกมาได้ยาก แต่สามารถพัฒนา
และแบ่งปันได้
     ๒. ความรู้ที่ชัดแจ้ง(Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล สามารถ
ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่างๆได้ เช่น หนังสือ คู่มือ เอกสาร รายงานต่างๆ เป็นต้น

2.ฮิเดโอะ ยามาซากิ(Hideo Yamazaki)

     ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น (บุญดี บุญญากิจและคนอื่นๆ ๒๕๔๙ : ๑๔ ) นิยามค าว่า “ความรู้” พร้อมทั้งแบ่งลำดับชั้นของความรู้ในรูปปิรามิด จากฐานรากขึ้นไปเป็น ๔ ล าดับคือ ข้อมูล (data) สารสนเทศ (information) ความรู้(knowledge) และ ภูมิปัญญา (wisdom) ดังนี้

     ข้อมูล (data) หมายถึง ข้อมูลดิบ ข้อเท็จจริง ตัวเลข รูปภาพ ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรความหมาย ซึ่งนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ยังไม่ได้สารสนเทศ
     (information) เป็นข้อมูลที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ วิเคราะห์เรียบเรียงและแปลความหมาย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการในขั้นตอนของการตัดสินใจ ความรู้
     (knowledge) คือสารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิด การเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนำ ไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ได้โดยไม่จำกัดช่วงเวลาภูมิปัญญา
     (wisdom) คือความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน ก่อให้เกิดประโยชน์ในการนำไปใช้
*******ฮิเดโอะ ยามาซากิ (Hedeo Yamazak) (อ้างใน วรภัทธ์ ภู่เจริญ, 2548 : 138) ได้แสดงว่ามิติความรู้ โดยเริ่มจากฐานล่าง คือ ข้อมูล สังเคราะห์จนได้สารสนเทศคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงจนได้ ความรู้ นำไปใช้จนแก่งกลายเป็น ปัญญา*****
  

3.ดาเวนพอร์ท (Daveport&Prusk. 1997.8) 

     กล่าวว่า ความรู้หมายถึง กรอบของการประสมประสานระหว่างประสบการณ์  ค่านิยม  ความรอบรู้ในบริบท  และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง 
เป็นการประสมประสานทีให้กรอบสำหรับการประเมินค่า  และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ๆ  มาผสมรวมเข้าด้วยกัน มันเกิดขึ้นและถูกนำไปใช้ประยุกต์ในใจของคนที่รู้
 สำหรับในแง่องค์กรนั้น ความรู้มักจะสั่งสมอยู่ในรูปของเอกสาร  หรือแฟ้มเก็บเอกสารต่างๆ  รวมไปถึงขั้นสั่งสมอยู่ในการทำงาน  อยู่ในกระบวนการ  อยู่ในการปฏิบัติงาน  และอยู่ในบรรทัด
ฐานขององค์กรนั้นเอง

4. Peter Senge ( 1990 ) 

     แห่ง Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถขยายศักยภาพของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างผลงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นที่ซึ่งเกิดรูปแบบการคิดใหม่ ๆ
หลากหลายมากมาย ที่ซึ่งแต่ละคนมีอิสระที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นที่ซึ่งทุกคนต่างเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน


5.ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ (Peter F Drucker, 1909-2005) 

     เป็นนักคิดที่บุกเบิกแนวคิดด้านการบริหารจัดการขององค์กรธุรกิจสมัยใหม่ แต่ดรักเกอร์มีแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการองค์กรที่แตกต่างอย่างมาก จากนักคิดด้านการบริหารรุ่นใหม่ๆ ที่การนำเสนอแนวคิด
การบริหารธุรกิจ จะมีหลักวิชาการรองรับและมีวิธีคิดที่เป็นระบบแบบแผน แต่แนวคิดที่เป็นจุดเด่นของดรักเกอร์คือความพยายามที่จะเข้าใจความซับซ้อนต่างๆ ของสังคม และพยายามถอดสรุปสิ่งที่เข้าใจออกมาเป็นแนวคิดที่ได้มาจากประสบการณ์ด้านการปฏิบัติงานเขียนของดรักเกอร์เกี่ยวกับการบริหารองค์กร จะเห็นแนวคิดของเขาที่มีลักษณะโดดเด่นอยู่
3 ประการ

ประการ 1  เป็นทัศนะที่มองสิ่งต่างๆ จากจุดที่สูงของสังคมลงมา สังคมจึงเป็นจุดเริ่มต้นความคิดของดรักเกอร์ มาตรฐานที่ใช้วัดคำว่า “การบริหาร” จึงอยู่ที่ผลกระทบต่อสังคมโดยรวมหรือต่อสาธารณะประโยชน์

ประการที่ 2 วิธีคิดของดรักเกอร์อาศัยทักษะความเชี่ยวชาญแบบพื้นฐานบวกกับความรอบรู้สาขาวิชาด้านต่างๆ ทำให้เกิดวิธีการวิเคราะห์ที่มองเห็นปัญหาต่างๆ อย่างได้ผล และสามารถนำความคิดนั้นมาใช้ในทางปฏิบัติ คำขวัญที่ดรักเกอร์ยึดถือคือ “เรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อการปฏิบัติ”

ประการที่ 3 ความสามารถในการวิเคราะห์ได้ชัดเจนและแม่นยำจะไม่มีประโยชน์อะไร หากไม่สามารถนำเสนอออกมาเป็นภาษาที่ชัดเจนและคนเข้าใจง่าย สิ่งที่เป็นมนต์เสน่ห์และพลังของแนวคิดดรักเกอร์คือความสามารถในการนำเสนอแนวคิดต่างๆ ออกมาเป็นหลักการที่ใครๆ ก็สามารถเข้าใจได้
    หลักการต่างๆ นั้นก็มาจากความคิดแบบสามัญสำนึก (common sense) เช่น ประโยคคำพูดของเขาที่ว่า “โอกาสทางธุรกิจนั้นอยู่ภายนอกองค์กร ภายในองค์กรล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องค่าใช้จ่าย” เป็นต้น
   

6.ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี     

     ท่านได้เสนอแนวคิดว่าความรู้ที่จำเป็นมี 4 ประเภทใหญ่ ๆ เรียกว่าปัญญา 4 หรือ จตุรปัญญา คือ ความรู้ธรรมชาติที่ เป็นวัตถุ ( วิทยาศาสตร์กายภาพ ) ความรู้ทางสังคม ( วิทยาศาสตร์สังคม ) ความรู้ทางศาสนา ( วิทยาศาสตร์ข้างใน )
 และความรู้เรื่องการจัดการซึ่งปัญญาที่เกิดจากความรู้ชนิดใดชนิดหนึ่งไม่เป็นการเพียงพอที่จะ ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมเราจำเป็นต้องมีปัญญาอย่างบูราณาการ การศึกษาและการวิจัยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาทุกด้านมิใช่ให้เรียนรู้เป็นส่วน ๆ เพราะความรู้แบบแยกส่วนจะนำไปสู่การกระทำ
แบบแยกส่วนทำให้เกิดการเสียดุลยภาพและเกิดวิกฤติการณ์ขึ้น การศึกษาเรียนรู้จำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบเชื่อมโยงเนื่องจากในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นโลกแห่งการเชื่อมโยงเป็นองค์รวม การจัดการเรียนรู้ควรจะไปให้ถึง 3 ระดับ คือ 
1.) ระดับที่เกิดความรู้ ซึ้งหมายถึงการรู้ความจริง
การที่บุคคลจะทำอะไรให้สำเร็จได้บุคคลนั้นต้องรู้และใช้ความจริง ความรู้ต้องเป็นความจริงเพราะการใช้ความจริงทำให้ทำได้ถูกต้อง การให้ผู้เรียนสัมผัสความจริงเท่ากับ เป็นการให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับเบื้องต้น


2.) ระดับที่เกิดปัญญา เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถบูรณาการหรือเชื่อมโยงความรู้ใน
4 ด้านดังกล่าวข้างต้นและนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต 

3.) ระดับที่เกิดจิตสำนึก คือ การเกิดความเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ และเข้าใจตัวเองว่าสัมพันธ์กับสรรพสิ่งอย่างไร ประเวศ วะสีท่านได้กล่าวต่อไปว่า จริยธรรมจะเกิดแก่บุคคลต่อเมื่อบุคคลนั้นได้บรรลุการเรียนรู้ทั้ง 3 ระดับ
ดังกล่าวจึงควรมีการปฎิรูปการเรียนให้มาเน้นการสัมผัสความจริงการคิดและการจัดการให้มากขึ้นทุกระดับ

    7.    ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช แห่งสำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) 

     กล่าวว่า องค์การเอื้อการเรียนรู้ มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamics) มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของพัฒนาการด้าน ๆ คล้ายมีชีวิต มีผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการสร้าง


นวัตกรรม (Innovation)

     รวมทั้งมีบุคลิกขององค์การในลักษณะที่เรียกว่าวัฒนธรรมองค์การ (Corporate Culture) ที่ผู้เกี่ยว ข้องสัมพันธ์สามารถรู้สึกได้
    

8.ประพนธ์ ผาสุขยืด (2547) ได้เสนอกรอบความคิดการจัดการความรู้ แบบปลาทู (Tuna Model) 

     เป็นกรอบความคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) โดยเปรียบการจัดการความรู้เสมือนปลาหนึ่งตัว ซึ่งมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ลำตัว และหางปลา
ตัวแบบปลาทู (Tuna Model) ที่เปรียบการจัดการความรู้เหมือนปลาหนึ่งตัว โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้คือ
ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า "ทำ KM ไปเพื่ออะไร"

ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัย และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกัน

ส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น "คลังความรู้" หรือ "ขุมความรู้"

 

บทที่๒ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้

แนวคิดการจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ความหมายของการจัดการความรู้

     การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่ช่วยรวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์และกำหนดประเด็น รวมไปถึงการเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้า

รูปแบบของความรู้ เป็นอย่างไรบ้าง ? รูปแบบของความรู้ มี 2 ประเภท คือ


1. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) 
     เป็น ความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ เอกสาร กฎระเบียบ วิธีการปฏิบัติงาน สื่อต่างๆ เช่น VCD DVD Internet เทป เป็นต้น และบางครั้งเรียกว่า ความรู้แบบรูปธรรม

2. ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) 
     เป็น ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด หรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ ประสบการณ์ แนวความคิด บางครั้งจึงเรียกว่า ความรู้แบบนามธรรม

ระดับความรู้

          ระดับที่ 1 : Know-what (รู้ว่า คืออะไร) เป็นความรู้ในเชิงการรับรู้
          ระดับที่ 2 : Know- how (รู้วิธีการ) เป็นความสามารถในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ
          ระดับที่ 3 : Know – why (รู้เหตุผล) เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเชิงเหตุผลที่ซับซ้อน ซึ่งอยู
ภายใต้ เหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ความรู้ในระดับนี้สามารถพัฒนา
ได้บนพื้นฐานของประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา
          ระดับที่ 4 : Care-why (ใส่ใจกับเหตุผล) เป็นความรู้ในลักษณะการสร้างสรรค์ที่มาจากตัวเอง บุคคลที่มีความรู้ในระดับนี้จะมี เจตจำนง แรงจูงในและการปรับตัวเพื่อ
ความสำเร็จ



     
     ในชีวิตจริง ความรู้ 2 ประเภทนี้จะเปลี่ยนสถานภาพ สลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้ง Tacit ก็ออกมาเป็น Explicit และบางครั้ง Explicit ก็เปลี่ยนไปเป็น Tacit

การจัดการความรู้   

     มีหลักการคล้ายกับการบริหารจัดการเรื่องอื่นๆ ทั่วไป คือ การที่เราจะบริหารจัดการสิ่งใดได้  จะต้องเข้าใจธรรมชาติของสิ่ง นั้นก่อน  จึงจะบริหารจัดการสิ่งนั้นได้ เช่น 
     ถ้าจะบริหารคน  ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของคน  ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้องของเรา มีอุปนิสัยอย่างไร  และเราควรปฏิบัติต่อพวกเขา อย่างไร จึงจะได้ผลงานที่ดีจากพวกเขา 
     การจัดการความรู้ ก็เช่นเดียวกัน 
เราจะบริหารจัดการความรู้ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของความรู้ว่า ความรู้คืออะไร  และความรู้เกิดขึ้น
ได้อย่างไร


โมเดลและทฤษฏีที่สําคัญเกี่ยวกับการจัดการความรู้  มีดังนี้ 

  1. ปิรามิดแห่งความรู้ ของ Yamazaki 
  2. ภูเขานํ้าแข็งแห่งความรู้ ของ Nonaka 
  3. การจัดการความรู้โดยใช้ปลาทูโมเดล (Tuna Model) ของ ดร.ประพนธ์  ผาสุขยืด         
  4. KM Model  : สคส. 
  5. KM-Process  : กพร.  ( ไปอยู่ บท 3)
  6. SECI Model         
  7. ทฤษฎีการจัดการความรู้ของ (Peter M. Senge’s)  (ไปอยู่บท 4)
  8. ทฤษฎี การ์วิน (Garvin) 
  9. ทฤษฎีการจัดการความรู้ของมาควอส (Marquardt)

ปิรามิดแห่งความรู้


Yamazaki  ได้ทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลักษณะของความรู้  แล้วพบว่า

ความรู้มีลักษณะคล้ายปิรามิด

ปิ รามิดแห่งความรู้ จะ แบ่งลักษณะของความรู้ออกเป็น 4 ประเภท เรียงลําดับ จากฐาน ปิรามิดไปสู่ยอด ซึ่งความรู้แต่ละ ประเภท จะมีลักษณะแตกต่าง กัน แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง กัน








1.ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ได้จากการสังเกตสิ่งที่ เกิดขึ้น  โดยยังไม่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ จึงเป็นข้อมูลดิบ

2.สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์แล้ว เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อข้อมูลนี้ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์เป็นสารสนเทศได้กลายเป็นความรู้ที่จะนําไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนางานต่อไป

3.  ความรู้ (Knowledge) คือ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับ ความรู้อื่นๆ จนเกิดเป็นความเข้าใจ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในเรื่องใด เรื่องหนึ่งได้

4.  ภูมิปัญญา (Wisdom) คือ การประยุกต์ใช้ความรู้  เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการทํางาน  การจัดการความรู้ที่นําข้อมูล สารสนเทศและความรู้ มาใช้ ทําให้ เกิดภูมิปัญญา ในการสร้างนวัตกรรม (วิธีการใหม่ที่ไม่เคยทํามาก่อน) ซึ่ง สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ต่อไปได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     แต่เมื่อเทคโนโลยีทางการสื่อสารเจริญขึ้น การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ สามารถทําได้โดยสะดวก การมีข้อมูล (Data) เพียงอย่างเดียว  จึงไม่ใช่จุด แข็งอีกต่อไป
     สิ่งที่เหนือกว่าข้อมูล คือการจัดการความรู้ (KM)  ด้วยการแปลง ข้อมูลให้เป็นสารสนเทศและความรู้ เพื่อใช้ความรู้ที่ได้  ทําให้เกิดภูมิปัญญา และสร้างนวัตกรรม



ภูเขานํ้าแข็งแห่งความรู้


Nonaka 

ได้ศึกษาวิจัย เกี่ยวกับธรรมชาติของความรู้ว่า ความรู้ คืออะไร และ เกิดขึ้นได้อย่างไร พบว่า ความรู้มีลักษณะที่ความแตกต่าง จากปิรามิดแห่งความรู้ของ Yamazaki โดย Nonaka ได้เปรียบเทียบ

ความรู้กับ รูปภูเขานํ้าแข็ง ซึ่งจําแนกความรู้ ออกเป็น 2 ประเภท






1. ส่วนของยอดภูเขานํ้าแข็งที่ลอยอยู่เหนือนํ้า  

มองเห็นได้ชัดเจนเรียกว่า Explicit Knowledge แปลว่า ความรู้แจ้งชัด

2. ส่วนภูเขานํ้าแข็งที่จมอยู่ใต้นํ้า  

ไม่สามารถ มองเห็นได้ เรียกว่า Tacit Knowledge แปลว่า ความรู้ฝังลึก (ที่อยู่ในตัวคน)

1.  Explicit Knowledge(ความรู้แจ้งชัด) 
     คือ  ความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล หรือ ความรู้เชิงทฤษฏีที่บันทึกไว้ ในสื่อต่าง ๆ  เช่น เอกสารตํารา และคู่มือการปฏิบัติงาน  เป็นความรู้ที่ ง่ายต่อการอธิบายถ่ายทอด  ซึ่งทําให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงความรู้นั้นได้ ง่าย จึงเปรียบได้กับภูเขานํ้าแข็งส่วนที่โผล่พ้นนํ้าขึ้นมามองเห็นได้ ชัดเจน มีปริมาณ 20% ของความรู้ทั้งหมดของคนเรา 

2.TacitKnowledge  (ความรู้ฝังลึก) 
     คือ  ความรู้เชิงประสบการณ์ ที่ซ่อนอยู่ในตัวคน  ในลักษณะ ของ ความชํานาญ หรือ ความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษ เฉพาะบุคคล หรือพรสวรรค์ ซึ่งยากแก่การอธิบายถ่ายทอดให้เป็นลาย ลักษณ์อักษร แต่ก็สามารถพัฒนาและแบ่งปันกันได้ ด้วยเหตุที่เป็นความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวคน มองเห็นไม่ชัดเจน จึงเปรียบได้กับภูเขานํ้าแข็ง ส่วนที่จมอยู่ใต้นํ้าซึ่งมองไม่เห็นมีปริมาณ 80% ของความรู้ ทั้งหมดของคนเรา
     เป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการ แข่งขัน  แต่ยากต่อการบริหารจัดการ ความรู้ฝังลึกเป็นประสบการณ์ที่ซ่อนอยู่ในตัวตน ได้แก่ 
-  ความสามารถพิเศษเฉพาะตัว (ที่ยากต่อการเลียนแบบ) 
-  พรสวรรค์ (เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่บุคคล อื่นไม่สามารถเลียนแบบได้) 
-  เทคนิควิธีของแต่ละคน ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติงาน จนกลายเป็นทักษะความชํานาญหรือความเชี่ยวชาญ 
-  วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) เป็นบทสรุปของเทคนิค วิธีการดําเนินงานที่ดีที่สุดของแต่ละคน ที่ค้นพบจากการทํางาน 
-  สูตรเด็ดเคล็ดลับต่าง ๆ

สัดส่วนของความรู้บนภูเขานํ้าแข็ง 


     เมื่อพิจารณาถึงสัดส่วนของความรู้ทั้ง 2 ประเภท  พบว่า  ความรู้ในองค์กรที่เป็น Explicit และ Tacit มีอัตราส่วน 20:80  คล้ายกับภูเขานํ้าแข็งที่มียอดภูเขาโผล่พ้น นํ้าขึ้นมา  เป็นส่วนน้อย  (Explicit ประมาณ 20% ของทั้งหมด)  เมื่อเทียบกับส่วนของภูเขานํ้าแข็งที่ จมอยู่ใต้นํ้า ซึ่งมีมาก (Tacit ประมาณ 80% ของ ทั้งหมด)

     ดังนั้น องค์กรชั้นนําทั่วโลก  จึงเริ่มให้ความสนใจ เรื่อง การ จัดการความรู้ของคนในองค์กรมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะความรู้เชิง ประสบการณ์ที่อยู่ในตัวพนักงาน 

• จึงเริ่มต้นจัดการความรู้ด้วยวิธีการง่าย ๆ คือ การออกคําสั่งให้ พนักงานทุกคนเขียนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคการทํางานของ ตนเอง ส่งผู้จัดการบริษัท  

•เพื่อทําให้ Tacit Knowledge  ซึ่งเป็นความรู้ฝังลึกในตัวพนักงาน ได้เปลี่ยนสถานะเป็น Explicit Knowledge หรือกลายเป็นความรู้ที่ แจ้งชัด ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร  

เพื่อเก็บไว้ในคลังความรู้ขององค์กร ให้พนักงานคนอื่นๆ ได้เข้ามา ศึกษาเรียนรู้ และนํามาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการทํางาน

ปัญหาของการจัดการความรู้ในลักษณะนี้ 
     เกิดจากสาเหตุ 3 ประการ 
คือ เพราะถูกบังคับ เพราะหวงวิชา และภาษาเป็นอุปสรรคในการถ่ายทอด ความรู้  
ทําให้องค์ความรู้ที่ได้ขาดความสมบูรณ์  อาจจะลดลงเหลือ เพียง 20-30% ของความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่จึงไม่สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่

ทําให้นักวิชาการด้านการจัดการความรู้ ต้องหาวิธีการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว  ด้วยการคิดค้นเทคนิควิธีการจัดการความรู้แบบต่างๆ เช่น 
     » การเล่าเรื่องความสําเร็จ (Storytelling) 
     » ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP: Community of Practice) และวิธีการอื่น ๆ อีกหลายวิธี  เพื่อให้การจัดการความรู้ (KM) ได้ผลดี อย่างเต็มที่ 


โมเดลปลาทู


เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี 3 ส่วน คือ  





1. ส่วน "หัวปลา" (Knowledge Vision- KV) 

     หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า "เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?" โดย "หัวปลา" นี้จะต้องเป็นของ "คุณกิจ" หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี "คุณเอื้อ" และ "คุณอำนวย" คอยช่วยเหลือ

2. ส่วน "ตัวปลา" (Knowledge Sharing-KS) 

     เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง "คุณอำนวย" จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ "คุณกิจ" มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว "คุณกิจ" พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม

3. "ส่วน "หางปลา" (Knowledge Assets-KA) 

     เป็นส่วนของ "คลังความรู้" หรือ "ขุมความรู้" ที่ได้จากการเก็บสะสม "เกร็ดความรู้" ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "ตัวปลา" ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ "หางปลา" นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป คนสำคัญที่ดำเนินการจัดการความรู้ 


KM Model  : สคส





     ตามแนวคิดของ สคส.   (วิจารณ์  พานิช)  การจัดการความรู้ (สคส.) คือ เครื่องมือโดยมีเป้าหมายอยู่ที่งาน คน และองค์กร เป็นเงื่อนไขสําคัญ ไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
สคส. สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท       
1. Explicit Knowledge         
2. Tacit Knowledge



SECI Model

  • เป้าหมาย เน้นคน 
  • มีการแลกเปลี่ยนจากคน และจะขยายความรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมี ปฏิสัมพันธ์ผ่านกระบวนการกลุ่มผ่านทางสังคม44



  • S = Socialization  คือ  การสร้างความรู้ด้วยการแบ่งปัน ประสบการณ์โดยการพบปะสมาคม และ พูดคุยกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอด แบ่งปัน ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลไปให้ผู้อื่น
  • E = Externalization คือ การนําความรู้ในตัวบุคคลที่ได้นํามา พูดคุยกันถ่ายทอดออกมาให้เป็นสิ่งที่จับต้อง ได้หรือเป็นลายลักษณ์อักษร
  • C = Combination  คือ  การผสมผสานความรู้ที่ชัดแจ้งมา รวมกัน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ สามารถนําความรู้นั้นไปใช้ในทางปฏิบัติได้
  • I  = Internalization คือ การนําความรู้ที่ได้มาใหม่ไปใช้ปฏิบัติ หรือลงมือทําจริง การนําไปปฏิบัติจริง สามารถนํามาใช้แก้ไขปัญหา โดยการนําเอา ความรู้ที่มีและความรู้ที่ได้ใหม่มาต่อยอด เพื่อช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น



SECI Model # 2

  • เน้นการนํา ICT เข้ามาใช้
องค์ประกอบสําคัญของวงจรสร้างความรู้ 

1.คน ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สําคัญที่สุด เนื่องจาก 
- เป็นแหล่งความรู้
- เป็นผู้นําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 

2.เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บแลกเปลี่ยน นําความรู้ไป ใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น 3.กระบวนการความรู้ เป็นการบริหารจัดการเพื่อนําความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ ผู้ใช้ เพื่อทําให้เกิดการปรับปรุงและการสร้างนวัตกรรม



ทฤษฎี การ์วิน (Garvin)






ทฤษฎี การ์วิน (Garvin)
     แนวคิดของการ์วิน องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ องค์กรที่มี  การสร้าง และ การถ่ายโอนความรู้ ตลอดถึงมีการนําไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ สะท้อนให้เกิดความรู้และความเข้าใจใหม่ ที่ใช้กับองค์กร  





มีขั้นตอน 5   คือ 
  1. การแก้ปัญหาอย่างมีระบบ           
  2. การทดลองใช้วิธีการใหม่ ๆ           
  3. การเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนและเรื่องในอดีต           
  4. การเรียนรู้จากประสบการณ์และวิธีการที่ดีที่สุดของผู้อื่น          
  5. การถ่ายทอดความรู้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 
ทฤษฎีของกาวินจะเป็นเน้นที่องค์กร


ทฤษฎีการจัดการความรู้ของมาควอส (Marquardt)

     ทฤษฎีการจัดการความรู้ของมาควอส (Marquardt) แสดงให้เห็นว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้เป็น
องค์กรเชิงระบบที่มีการเรียนรู้อย่างเต็ม สมรรถนะ สั่งสมการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยการ แก้ไข จัดการและใช้ความรู้เพื่อความสําเร็จขององค์กร  

ทฤษฎีการจัดการความรู้ของมาควอส (Marquardt)
  • องค์ประกอบขององค์กรแห่งการเรียนรู้ของมาคลอสมี 5 องค์ประกอบได้แก่  


องค์กร (organization)



บุคคล (people)


เทคโนโลยี (technology)  


ความรู้ (knowledge) 


การเรียนรู้ (learning) 

  • มาควอทจะมองเห็นถึงความสําคัญของเทคโนโลยีโดยนําเอามาเป็น สื่อกลางในการเรียนรู้ 



บทที่ 6 การใช้โปรแกรม Joomla

Custom Fields  เป็นหนึ่งในคุณลักษณะใหม่ของ   Joomla   ที่ถูกเพิ่มมาในเว็อร์ชัน 3.7 ซึ่งตัว   Custom Fields   จะช่วยให้เราสามารถจัดการเพิ่ม...